วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กระบวนการในการตัดสินใจ

ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสื่อสารและโทรคมนาคมทำให้ข้อมูลข่าวสารสามารถเดินทางได้อย่างคล่องตัวและเป็นอิสระมากขึ้น  ส่งผลให้องค์การต่าง ๆ สามารถรับ-ส่งข้อมูลข่าวสารและข้อสนเทศได้ในระยะเวลาที่สั้นลง  โดยข้อมูลมีความชัดเจน  ถูกต้อง  และสะดวกขึ้นด้วยเหตุนี้  ทำให้ธุรกิจในปัจจุบันมีความคล่องตัวในการดำเนินงานสูงขึ้นจนหลายคนถึงกับกล่าวว่าโลกธุรกิจในปัจจุบันหมุนเร็วกว่าโลกธุรกิจในอดีตมาก  ทำให้การตัดสินใจในโอกาสหรือปัญหาทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจะต้องการทำภายใต้ข้อจำกัดทางสารสนเทศภายในระยะเวลาที่เหมาะสม  มีหลายครั้งที่ผู้บริหารจะต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วภายใต้ความกดดันของสถานการณ์  เช่น  การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน  การนัดหยุดงาน  หรือการต่อต้านจากสังคม  เป็นต้น  จึงนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้บริหารที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตที่จะต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม  ตลอดจนต้องพยายามฝึกฝนตนเองโดยพัฒนาทักษะและสั่งสมประสบการณ์ในการตัดสินใจ  เพื่อที่จะสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจเลือกทางเลือกต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ  มีประสิทธิภาพ  และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ทฤษฎีการจัดการกับการตัดสินใจ
Henri Fayol  ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส  ได้กล่าวถึงหน้าที่หลักในการจัดการ  (management functions)  ไว้  5  ประการด้วยกันคือการวางแผน  (planning)  การจัดองค์การ  (organizing)  การประสานงาน  (coordinating)  การตัดสินใจ  (deciding)  และการควบคุม  (controlling)
ที่ Mintzberg  (.. 1971)  ได้กล่าวถึงบทบาททางการจัดการ  (manegerial roles)  ว่าเป็นกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผู้จัดการสมควรจะกระทำขณะปฏิบัติหน้าที่ภายในองค์การ  โดยมีกิจกรรมเหล่านี้สามารถถูกจัดออกเป็น  3  กลุ่มคือ  บทบาทระหว่างบุคคล  (interpersonal roles)  บทบาททางสารสนเทศ  (informational roles)  และบทบาททางการตัดสินใจ  (decisional roles)

กระบวนการในการตัดสินใจ

ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสื่อสารและโทรคมนาคมทำให้ข้อมูลข่าวสารสามารถเดินทางได้อย่างคล่องตัวและเป็นอิสระมากขึ้น  ส่งผลให้องค์การต่าง ๆ สามารถรับ-ส่งข้อมูลข่าวสารและข้อสนเทศได้ในระยะเวลาที่สั้นลง  โดยข้อมูลมีความชัดเจน  ถูกต้อง  และสะดวกขึ้นด้วยเหตุนี้  ทำให้ธุรกิจในปัจจุบันมีความคล่องตัวในการดำเนินงานสูงขึ้นจนหลายคนถึงกับกล่าวว่าโลกธุรกิจในปัจจุบันหมุนเร็วกว่าโลกธุรกิจในอดีตมาก  ทำให้การตัดสินใจในโอกาสหรือปัญหาทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจะต้องการทำภายใต้ข้อจำกัดทางสารสนเทศภายในระยะเวลาที่เหมาะสม  มีหลายครั้งที่ผู้บริหารจะต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วภายใต้ความกดดันของสถานการณ์  เช่น  การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน  การนัดหยุดงาน  หรือการต่อต้านจากสังคม  เป็นต้น  จึงนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้บริหารที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตที่จะต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม  ตลอดจนต้องพยายามฝึกฝนตนเองโดยพัฒนาทักษะและสั่งสมประสบการณ์ในการตัดสินใจ  เพื่อที่จะสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจเลือกทางเลือกต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ  มีประสิทธิภาพ  และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ระดับของการตัดสินใจภายในองค์การ

ปกติเราสามารถแบ่งระดับชั้นของผู้บริหาร  (management levels)  ในลักษณะเป็นลำดับขั้น  (hierachy)  ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมพีระมิด  (pyramid)  ตามหลักการบริหารที่ใช้กันอยู่ทั่วไปซึ่งสามารถประยุกต์กับการจำแนกระดับของการตัดสินใจของผู้บริหารภายในองค์การ  (levels of decision making)  ได้เป็น  3 ระดับดังต่อไปนี้
ระดับ 1. การตัดสินใจระดับกลยุทธ์  (strategic decision making)  เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงในองค์การ  ซึ่งจะให้ความสนใจต่ออนาคตหรือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น  อันได้แก่  การสร้างวิสัยทัศน์องค์การ  การกำหนดนโยบายและเป้าหมายระยะยาว  การลงทุนในธุรกิจใหม่  การขยายโรงงาน  เป็นต้น  การตัดสินใจระดับกลยุทธ์มักจะเกี่ยวข้องกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น  ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลจากทั้งภายนอกและภายในองค์การ  ตลอดจนประสบการณ์ของผู้บริหารประกอบการพิจารณา
กับการจัดการ  เพื่อให้งานต่าง ๆ เป็นไปตามนโยบายของผู้บริหารระดับสูง  เช่น  การกำหนดยุทธวิธีทางการตลาด  การตัดสินใจในแผนการเงินระยะกลาง  หรือการแก้ไขปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหวัง
ระดับ 2. การตัดสินใจระดับยุทธวิธี  (tactical decision making)  เป็นหน้าที่ของผู้บริหารระดับกลาง  โดยที่การตัดสินใจในระดับนี้มักจะเกี่ยวข้องเป็นต้น
ระดับ 3. การตัดสินใจระดับปฏิบัติการ  (operational decision making)  หัวหน้างานระดับต้นมักจะต้องเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในระดับนี้  ซึ่งมักจะเป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเฉพาะด้านที่มักจะเป็นงานประจำที่มีขั้นตอนซ้ำ ๆ และได้รับการกำหนดไว้เป็นมาตรฐาน  โดยที่หัวหน้างานจะพยายามควบคุมให้งานดำเนินไปตามแผนงานที่วางไว้  เช่น  การมอบหมายงานให้พนักงานแต่ละคน  การวางแผนควบคุมการผลิตระยะสั้น  การวางแผนเบิกจ่ายวัสดุ  และการดูแลยอดขายประจำวัน  เป็นต้น